กลุ่มข้อมูลด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี

การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคนิค QCM และ Light Scattering ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ IoT

... 16 กุมภาพันธ์ 2568

บทวิเคราะห์งานวิจัย

งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ขนาดเล็กและแม่นยำสูง โดยใช้เทคนิคที่หลากหลายและผสานเทคโนโลยีทันสมัยเข้าด้วยกัน จุดเด่นสำคัญอยู่ที่การนำเทคนิค QCM (Quartz Crystal Microbalance) มาใช้ในการตรวจวัด PM2.5 ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีความแม่นยำสูง โดยอาศัยหลักการวัดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของผลึกควอตซ์เมื่อมีอนุภาคฝุ่นเกาะติด การใช้ QCM ช่วยให้สามารถวัดปริมาณฝุ่นได้อย่างต่อเนื่องและมีความละเอียดสูงกว่าเทคนิคอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดแบบพกพาขนาดเล็กที่ใช้เทคนิคการกระเจิงแสง (Light Scattering) ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มความแม่นยำในการวัด การใช้ AI ช่วยลดข้อผิดพลาดจากสัญญาณรบกวนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกแยะอนุภาค PM2.5 จากอนุภาคอื่นๆ

การนำ IoT (Internet of Things) มาใช้เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของงานวิจัยนี้ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ตรวจวัดเข้ากับระบบเครือข่าย IoT ช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลฝุ่น PM2.5 ได้แบบเรียลไทม์จากหลายๆ ตำแหน่ง ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ในการแจ้งเตือนประชาชน วางแผนการจัดการคุณภาพอากาศ และสร้างแบบจำลองการกระจายตัวของฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบอุปกรณ์ให้ใช้งานได้ภายนอกในสภาวะแวดล้อมจริงแสดงถึงความพร้อมในการนำไปใช้จริงในภาคสนาม ซึ่งเป็นข้อดีที่สำคัญที่เหนือกว่างานวิจัยในห้องปฏิบัติการที่มักมีข้อจำกัดในการใช้งานจริง

เป้าหมายการพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัด PM2.5 ที่มีทั้งแบบที่มีความแม่นยำสูงและแบบพกพาขนาดเล็กนั้นเป็นการตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน อุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูงด้วยเทคนิค QCM เหมาะสำหรับใช้เป็นสถานีตรวจวัดหลักที่มีความน่าเชื่อถือสูง ส่วนอุปกรณ์แบบพกพาขนาดเล็กเหมาะสำหรับใช้ในการตรวจวัดส่วนบุคคล หรือการสำรวจพื้นที่ต่างๆ ที่เข้าถึงยาก การพัฒนาอุปกรณ์ทั้งสองแบบจึงช่วยเสริมศักยภาพในการตรวจวัด PM2.5 ได้อย่างครอบคลุม รวมถึงการพัฒนาให้สามารถตรวจวัดค่า AQI (Air Quality Index) ตามมาตรฐาน EPA ช่วยให้ผลการวัดมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้เปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลได้

ข้อดีอีกประการหนึ่งของงานวิจัยนี้คือการมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถผลิตและใช้งานได้ในประเทศไทย การสร้างเครื่องมือที่มีมาตรฐานและสามารถผลิตได้เองในประเทศจะช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภายในประเทศ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างยั่งยืน

งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใด

งานวิจัยนี้เหมาะกับหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมสุขภาพ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

  • อุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม: อุปกรณ์ตรวจวัด PM2.5 ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบคุณภาพอากาศ การเฝ้าระวังมลพิษ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ในการวางแผนการจัดการคุณภาพอากาศและการควบคุมมลพิษในพื้นที่ต่างๆ ทั้งในระดับชุมชน ระดับจังหวัด และระดับประเทศ

  • อุตสาหกรรมสุขภาพ: ข้อมูลการตรวจวัด PM2.5 ที่แม่นยำสามารถนำไปใช้ในการวิจัยด้านสาธารณสุข เพื่อศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพประชาชน การพยากรณ์โรค และการวางแผนการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ

  • อุตสาหกรรมเทคโนโลยี: งานวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหลายด้าน เช่น เซนเซอร์ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ IoT และปัญญาประดิษฐ์ การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัด PM2.5 จึงสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบแจ้งเตือนมลพิษ ระบบบริหารจัดการข้อมูล และระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

งานวิจัยนี้เหมาะกับอาชีพใด

งานวิจัยนี้เหมาะกับบุคลากรในหลายอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวัดคุณภาพอากาศ การดูแลสุขภาพ และการวิจัย

  • นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม: สามารถนำอุปกรณ์ไปใช้ในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ต่อสิ่งแวดล้อม

  • เจ้าหน้าที่สาธารณสุข: สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการเฝ้าระวัง การประเมินความเสี่ยง และการวางแผนการดูแลสุขภาพประชาชน

  • วิศวกรสิ่งแวดล้อม: สามารถนำไปใช้ในการออกแบบ พัฒนา และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ

  • นักวิจัย: สามารถนำไปใช้ในการวิจัย พัฒนา และปรับปรุงเทคโนโลยีการตรวจวัด PM2.5

  • บุคลากรทางการแพทย์: สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวินิจฉัย รักษา และดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5

สร้างบทวิเคราะห์โดย Gemini เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคนิค QCM และ Light Scattering ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ IoT
ภาพนี้สร้างโดย Image GPT เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
รหัสโครงการ : 7177
หัวหน้าโครงการ : นายอดิสร เตือนตรานนท์
ปีงบประมาณ : 2563
หน่วยงาน : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
สาขาวิจัย : กลุ่มข้อมูลด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี
ประเภทโครงการ : แผนงาน หรือชุดโครงการ
สถานะ : ปิดโครงการ
คำสำคัญ :
วัตถุประสงค์ : 1. เพื่อพัฒนาเซ็นเซอร์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือตรวจวัดค่า PM 2.5 ความแม่นยำสูงแบบวัดต่อเนื่อง ด้วยเทคนิคควอตส์คริสตัลไมโครบาลานส์ (Quartz Crystal Microbalance; QCM) 2. เพื่อพัฒนาการตรวจวัดค่า AQI แบบมาตรฐานด้วยค่า PM2.5 และ ก๊าซเซ็นเซอร์ที่เกี่ยวข้องตามมาตรฐานของ EPA 3. เพื่อพัฒนาระบบสำหรับการนำชุดเซ็นเซอร์ไปใช้งานจริงในงานด้านการเฝ้าระวังบนพื้นฐานของ IoT 4. เพื่อทำการออกแบบชุดเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นดังกล่าวให้สามารถใช้งานภายนอกในสภาวะแวดล้อมจริงได้

นายอดิสร เตือนตรานนท์. (2563). การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคนิค QCM และ Light Scattering ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ IoT. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.). กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่.

นายอดิสร เตือนตรานนท์. 2563. "การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคนิค QCM และ Light Scattering ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ IoT". สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.). กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่.

นายอดิสร เตือนตรานนท์. "การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคนิค QCM และ Light Scattering ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ IoT". สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), 2563. กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่.

นายอดิสร เตือนตรานนท์. การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคนิค QCM และ Light Scattering ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ IoT. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.); 2563. กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่.

Creative Commons : CC

Creative Commons
Attribution ให้เผยแพร่ ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา

รายการที่เกี่ยวข้อง

โครงการออกแบบและสร้างระบบสอบเทียบเครื่องมือวัดฝุ่น PM2.5

OECD : กลุ่มข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ