นวัตกรรมการผลิต 2,3-บิวเทนไดออล จากขยะทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือกใหม่
บทวิเคราะห์งานวิจัย
งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต 2,3-บิวเทนไดออล (2,3-BD) ซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญที่มีศักยภาพสูงในการใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือก โดยใช้วัตถุดิบจากขยะทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ได้แก่ ฟางข้าวและขนสัตว์ (ขนไก่/ขนหมู) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน งานวิจัยนี้ครอบคลุมหลายขั้นตอนตั้งแต่การปรับสภาพวัตถุดิบ การย่อยสลายด้วยเอนไซม์ไปจนถึงกระบวนการหมักเพื่อผลิต 2,3-BD และยังรวมถึงการพัฒนาเอนไซม์ใหม่ๆ โดยเฉพาะเอนไซม์ ferulic decarboxylase (FDC) เพื่อใช้ในการผลิตสารประกอบอัลคีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการผลิตน้ำมันอากาศยาน
การปรับสภาพวัตถุดิบ: งานวิจัยได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการปรับสภาพฟางข้าวด้วยสารละลายด่าง (NaOH) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายโดยเอนไซม์ เช่นเดียวกับการปรับสภาพขนสัตว์โดยใช้ NaOH วิธีการเหล่านี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมสำหรับการย่อยสลายโดยเอนไซม์ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาการปรับสภาพแกลบข้าวด้วย Na2CO3 และการแยกสารประกอบฟีนอลิกออก ซึ่งสารที่แยกได้ เช่น ferulic acid และ p-coumaric acid สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ และยังได้ผงซิลิกาที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่น่าสนใจ
การย่อยสลายด้วยเอนไซม์: งานวิจัยได้เน้นการพัฒนาเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายทั้งฟางข้าวและขนสัตว์ การใช้เอนไซม์เซลลูเลสคอมเพล็กซ์และไซแลนเนสในการย่อยฟางข้าว ทำให้ได้น้ำตาลในปริมาณสูง สำหรับขนสัตว์ ใช้เอนไซม์เคราติเนสในการย่อยสลาย ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญในการนำของเสียทางการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ การพัฒนาเอนไซม์ FDC ซึ่งสามารถเปลี่ยนกรดซินนามิก กรดเฟอรูลิก และกรด p-coumaric ไปเป็นสารประกอบอัลคีน เป็นก้าวสำคัญในการสร้างสารตั้งต้นสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันอากาศยาน
กระบวนการหมัก: งานวิจัยได้พัฒนากระบวนการหมักโดยใช้เชื้อ K. oxytoca KMS006 เพื่อผลิต 2,3-BD จากสารย่อยสลายทั้งฟางข้าวและขนสัตว์ การเปรียบเทียบระหว่างกระบวนการหมักแบบกะและแบบกึ่งกะ รวมถึงการเพิ่มสารย่อยขนสัตว์เข้าไปในอาหารเลี้ยงเชื้อ แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต 2,3-BD การเพิ่มสารย่อยขนสัตว์ทำให้ได้อัตราการผลิตสูงขึ้นถึง 11.7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการนำของเสียทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของงานวิจัย: งานวิจัยนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพที่ยั่งยืน โดยการใช้ขยะทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบหลัก การพัฒนาเอนไซม์ใหม่ๆ และการปรับปรุงกระบวนการหมัก ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของการผลิต นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพของประเทศ รวมถึงการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการจัดการขยะทางการเกษตร งานวิจัยนี้จึงเป็นงานวิจัยที่มีคุณค่าและมีศักยภาพสูงในการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะ:
-
อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ: ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการผลิต 2,3-BD ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือก สามารถนำไปใช้ในเครื่องยนต์ได้โดยตรงหรือดัดแปลงเล็กน้อย ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
-
อุตสาหกรรมการเกษตร: งานวิจัยนี้ช่วยแก้ปัญหาการจัดการฟางข้าวและขนสัตว์ ซึ่งเป็นของเสียทางการเกษตร โดยการแปรรูปเป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกร และลดมลภาวะจากการเผาไหม้ฟางข้าว
-
อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ (Bio-based chemical industry): สารประกอบต่างๆ ที่ได้จากการสกัดจากแกลบข้าว เช่น ferulic acid และ p-coumaric acid สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมี และสารประกอบอัลคีนที่ได้จากเอนไซม์ FDC สามารถนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเคมีอื่นๆ ได้อีกมากมาย
-
อุตสาหกรรมการบิน: สารประกอบอัลคีนที่ได้จากเอนไซม์ FDC มีศักยภาพในการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตน้ำมันอากาศยาน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
งานวิจัยนี้เหมาะกับอาชีพใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับผู้ที่มีความรู้และทักษะในหลายสาขาอาชีพ เช่น:
-
นักวิจัยทางด้านชีววิทยา: ผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาและพัฒนาเอนไซม์ จุลินทรีย์ และกระบวนการหมัก สามารถนำความรู้และทักษะมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต 2,3-BD
-
วิศวกรเคมี: ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในการออกแบบและควบคุมกระบวนการทางเคมี สามารถนำความรู้มาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และการออกแบบโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ
-
นักวิทยาศาสตร์การอาหาร: ผู้เชี่ยวชาญในการแปรรูปและการจัดการวัตถุดิบทางการเกษตร สามารถนำความรู้มาใช้ในการปรับสภาพวัตถุดิบ และการออกแบบสูตรอาหารเลี้ยงเชื้อในกระบวนการหมัก
-
เกษตรกร: สามารถนำความรู้และเทคโนโลยีที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการฟางข้าวและขนสัตว์ เพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร และสร้างรายได้เพิ่ม
-
ผู้ประกอบการ: สามารถนำเทคโนโลยีที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปใช้ในการสร้างธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้จากการแปรรูปขยะทางการเกษตร
| รหัสโครงการ : | 7158 |
| หัวหน้าโครงการ : | รศ.ดร. เขมวิทย์ จันต๊ะมา |
| ปีงบประมาณ : | 2563 |
| หน่วยงาน : | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี |
| สาขาวิจัย : | กลุ่มข้อมูลด้านเกษตรศาสตร์ |
| ประเภทโครงการ : | แผนงาน หรือชุดโครงการ |
| สถานะ : | ปิดโครงการ |
| คำสำคัญ : | |
| วัตถุประสงค์ : | เพื่อศึกษาและประเมินวิธีการจัดการฟางข้าวของเกษตรปัจจุบันเพื่อสร้างองค์ความรู้และกระตุ้นความตระหนักถึงการจัดการฟางข้าวจากการผลิตข้าวเพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการสร้างรายได้เพิ่มจากการเปลี่ยนฟางข้าวให้พร้อมใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพโดยเฉพาะการผลิต 2,3-BD เพื่อหากระบวนการที่เหมาะสมในการปรับสภาพฟางข้าวหลากหลายสายพันธุ์ในประเทศไทย และพัฒนาเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยฟางข้าวเพื่อให้ได้น้ำตาลป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิต 2,3-BD โดยหวังให้เอนไซม์ที่พัฒนาขึ้นสามารถลดหรือทดแทนการนำเข้าเอนไซม์ทางการค้าจากต่างประเทศ เพื่อใช้เทคนิควิศวกรรมโปรตีน และวิศวกรรมเมทาบอลิกในการพัฒนาเอนไซม์เฉพาะที่สามารถเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นสารประกอบแอลคีนที่ใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน เพื่อพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่สามารถสร้างเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายขนสัตว์เช่นขนไก่หรือขนหมูที่เป็นของเสียหลักจากอุสาหกรรมทางการเกษตร รวมถึงการทำพันธุวิศวกรรม และวิศวกรรมโปรตีน เพื่อได้จุลินทรีย์ และเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการสลายขนสัตว์ และสามารถนำสารย่อยขนสัตว์มาใช้เป็นแหล่งไนโตรเจนในสูตรอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ระหว่างกระบวนการผลิต 2,3-BD จากสารชีวมวล เพื่อพัฒนากระบวนการผลิต 2,3-BD ด้วยเชื้อ K. oxytoca KMS006 จากสารย่อยฟางข้าวร่วมกับสารย่อยจากขนสัตว์ที่มีประสิทธิภาพด้วยเอนไซม์และกระบวนการที่ได้จากวัตถุประสงค์ข้อ 6.2 และ 6.4 ให้ได้ความเข้มข้น ผลผลิต ผลิตผลสูง สามารถแข่งขันเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพชนิดใหม่ได้ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นกับงานวิจัยสู่ชุมชนและภาคอุตสาหกรรมการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพที่สนใจ |
รศ.ดร. เขมวิทย์ จันต๊ะมา. (2563). นวัตกรรมการผลิต 2,3-บิวเทนไดออล จากขยะทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือกใหม่. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. นครราชสีมา.
รศ.ดร. เขมวิทย์ จันต๊ะมา. 2563. "นวัตกรรมการผลิต 2,3-บิวเทนไดออล จากขยะทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือกใหม่". มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. นครราชสีมา.
รศ.ดร. เขมวิทย์ จันต๊ะมา. "นวัตกรรมการผลิต 2,3-บิวเทนไดออล จากขยะทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือกใหม่". มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, 2563. นครราชสีมา.
รศ.ดร. เขมวิทย์ จันต๊ะมา. นวัตกรรมการผลิต 2,3-บิวเทนไดออล จากขยะทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือกใหม่. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี; 2563. นครราชสีมา.