กลุ่มข้อมูลด้านสังคมศาสตร์

ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน

... 17 มีนาคม 2568
ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน
ภาพนี้สร้างโดย Image GPT เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568

บทวิเคราะห์งานวิจัย

งานวิจัยเรื่อง "ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน" นี้เป็นงานวิจัยเชิงผสม (mixed methods) ที่มุ่งแก้ไขปัญหาสังคมที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ ปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน หรือชุมชน งานวิจัยนี้มีความน่าสนใจและครอบคลุมมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน เริ่มจากการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหา ซึ่งเป็นการดำเนินการเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาเชิงทฤษฎี การเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย คือ ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน จำนวน 2,420 แห่ง รวมถึงการจัดกลุ่มสนทนาและสัมภาษณ์เชิงลึก สะท้อนถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ การนำข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพมาวิเคราะห์ร่วมกัน ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนและมีความหมายมากยิ่งขึ้น การศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายการข่มขืนกระทำชำเราในประเทศไทยกับต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย) เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของการแก้ปัญหาในระดับสากล และสามารถนำมาปรับใช้หรือปรับปรุงกฎหมายในประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม

จุดเด่นของงานวิจัยนี้คือการเน้นการสร้างเครื่องมือป้องกันที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การศึกษาปัญหาอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน การส่งเสริมบทบาทของพ่อแม่ ครู และผู้นำชุมชนในการป้องกันปัญหา และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เช่น การเพิ่มแสงสว่างในชุมชน การลดพื้นที่เสี่ยงต่อการมั่วสุม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพ การวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของกฎหมายไทยเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเพศ เช่น การกำหนดฐานความผิดที่ไม่ชัดเจน โทษที่ไม่รุนแรงพอ และขาดมาตรการในการดำเนินการกับผู้กระทำผิด การชี้ให้เห็นข้อบกพร่องเหล่านี้ ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยในการผลักดันให้เกิดการปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น การศึกษาครอบคลุมเฉพาะ 8 เขตพื้นที่ อาจไม่สามารถสะท้อนภาพรวมของประเทศได้อย่างสมบูรณ์ การใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่แต่กระจายอยู่หลายพื้นที่อาจทำให้การควบคุมคุณภาพข้อมูลมีความยากลำบาก และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอาจต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ งานวิจัยชิ้นนี้ก็ยังคงมีคุณค่าและประโยชน์อย่างมาก สามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใด

งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม การศึกษา และความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

  • อุตสาหกรรมการพัฒนาสังคมและชุมชน: งานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการและนโยบายเพื่อป้องกันการข่มขืนกระทำชำเราในชุมชน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาในสังคม
  • อุตสาหกรรมการศึกษา: งานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา การอบรมครู และกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนเพื่อป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในเด็กและเยาวชน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในโรงเรียน
  • อุตสาหกรรมความปลอดภัยและการคุ้มครองเด็ก: งานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กและเยาวชน เช่น ระบบแจ้งเตือนภัย การติดตามตัว และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

งานวิจัยนี้เหมาะกับอาชีพใด

งานวิจัยนี้เหมาะกับผู้ที่ทำงานในอาชีพต่างๆ เช่น

  • นักวิจัยทางสังคม: สามารถนำงานวิจัยนี้ไปใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อยอด หรือทำวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา และสามารถปรับใช้เครื่องมือและวิธีการวิจัยในงานของตนเองได้
  • นักสังคมสงเคราะห์: สามารถนำเครื่องมือและแนวทางป้องกันที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปใช้ในการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวและชุมชน
  • ครู อาจารย์: สามารถนำข้อมูลและแนวทางจากงานวิจัยนี้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน การอบรมนักเรียน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในโรงเรียน
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักกฎหมาย: สามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายจากงานวิจัยนี้ไปใช้ในการป้องกัน สืบสวน และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
  • ผู้ทำงานด้านการพัฒนาชุมชน: สามารถนำเครื่องมือและแนวทางป้องกันที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปใช้ในการพัฒนาชุมชน สร้างความตระหนักรู้ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในชุมชน

สร้างบทวิเคราะห์โดย Gemini เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568
รหัสโครงการ : 117037
หัวหน้าโครงการ : นางสาวสุณีย์ กัลยะจิตร
ปีงบประมาณ : 2564
หน่วยงาน : มหาวิทยาลัยมหิดล
สาขาวิจัย : กลุ่มข้อมูลด้านสังคมศาสตร์
ประเภทโครงการ : แผนงาน หรือชุดโครงการ
สถานะ : ปิดโครงการ
คำสำคัญ :
วัตถุประสงค์ : การศึกษาในปีที่ 11. เพื่อสร้างเครื่องมือในการป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน2. เพื่อเปรียบเทียบและพัฒนากฎหมายการข่มขืนกระทำชำเราการศึกษาในปีที่ 23.เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการผลักดันเครื่องมือและกฎหมายการข่มขืนกระทำชำเราสู่การปฏิบัติในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน

นางสาวสุณีย์ กัลยะจิตร. (2564). ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน. มหาวิทยาลัยมหิดล. กาญจนบุรี, กำแพงเพชร, ชลบุรี, เชียงราย, เชียงใหม่, ตราด, ตาก, นครปฐม, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, น่าน, ปทุมธานี, ประจวบคีรีขันธ์, พิษณุโลก, สงขลา, สมุทรปราการ, สระแก้ว, สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี.

นางสาวสุณีย์ กัลยะจิตร. 2564. "ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน". มหาวิทยาลัยมหิดล. กาญจนบุรี, กำแพงเพชร, ชลบุรี, เชียงราย, เชียงใหม่, ตราด, ตาก, นครปฐม, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, น่าน, ปทุมธานี, ประจวบคีรีขันธ์, พิษณุโลก, สงขลา, สมุทรปราการ, สระแก้ว, สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี.

นางสาวสุณีย์ กัลยะจิตร. "ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน". มหาวิทยาลัยมหิดล, 2564. กาญจนบุรี, กำแพงเพชร, ชลบุรี, เชียงราย, เชียงใหม่, ตราด, ตาก, นครปฐม, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, น่าน, ปทุมธานี, ประจวบคีรีขันธ์, พิษณุโลก, สงขลา, สมุทรปราการ, สระแก้ว, สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี.

นางสาวสุณีย์ กัลยะจิตร. ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน. มหาวิทยาลัยมหิดล; 2564. กาญจนบุรี, กำแพงเพชร, ชลบุรี, เชียงราย, เชียงใหม่, ตราด, ตาก, นครปฐม, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, น่าน, ปทุมธานี, ประจวบคีรีขันธ์, พิษณุโลก, สงขลา, สมุทรปราการ, สระแก้ว, สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี.

Creative Commons : CC

Creative Commons
Attribution ให้เผยแพร่ ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา