นิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์
บทวิเคราะห์งานวิจัย
งานวิจัยเรื่อง “นิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งศึกษาและวิเคราะห์ “นิตเนม” ซึ่งเป็นบทสวดประจำวันของชาวสิกข์ เพื่อทำความเข้าใจปรัชญาและแนวปฏิบัติทางศาสนาสิกข์ งานวิจัยนี้ใช้ทั้งวิธีการวิเคราะห์เชิงลึกของข้อความในนิตเนมเอง โดยอาศัยวิธีการทางอรรถปริวรรตศาสตร์และการตีความเชิงอุปมา ควบคู่ไปกับการศึกษาภาคสนามและการสัมภาษณ์กลุ่มชาวไทยสิกข์ที่ปฏิบัติตามนิตเนม ทำให้ได้ข้อมูลทั้งจากแหล่งเอกสารและจากประสบการณ์จริงของผู้ปฏิบัติ
จุดแข็งของงานวิจัยนี้คือการผสมผสานวิธีการวิจัยหลายแบบ การวิเคราะห์ข้อความนิตเนมอย่างละเอียดช่วยให้เข้าใจความหมายเชิงลึกของบทสวด ซึ่งไม่ใช่เพียงการแปลคำศัพท์ แต่เป็นการตีความความหมายที่ซ่อนอยู่ การใช้ภาษาภาพพจน์ช่วยให้เข้าใจแก่นแท้ของปรัชญาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน การศึกษาภาคสนามและการสัมภาษณ์ชาวไทยสิกข์ ทำให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ เห็นภาพการปฏิบัติจริงในสังคมไทย ซึ่งช่วยเติมเต็มภาพรวมของการศึกษาให้สมบูรณ์
จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือการที่งานวิจัยนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแปลและอธิบายนิตเนม แต่ยังวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ การพัฒนามนุษย์ และการสร้างสังคมที่ดี งานวิจัยชี้ให้เห็นว่านิตเนมไม่เพียงเป็นพิธีกรรมทางศาสนา แต่ยังเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง นำไปสู่ความเข้าใจในสัจธรรม การหลุดพ้นจากสังสารวัฏ และการหลอมรวมเป็นเอกะกับพระผู้เป็นเจ้า (เป้าหมายสูงสุดของศาสนาสิกข์)
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังมีข้อจำกัดบางประการ ตัวอย่างเช่น การศึกษาภาคสนามอาจมีขอบเขตจำกัด เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเป็นชาวไทยสิกข์ ทำให้ผลการวิจัยอาจไม่สามารถนำไปใช้ได้กับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ นอกจากนี้ การวิเคราะห์อาจเน้นไปที่กลุ่มผู้มีศรัทธาสูง ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมความหลากหลายของความเชื่อและการปฏิบัติของชาวสิกข์ทุกกลุ่ม จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อและการปฏิบัติแตกต่างกันออกไป เพื่อให้ภาพรวมของการวิจัยครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
สรุปได้ว่า งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยที่มีคุณค่า ช่วยให้เข้าใจปรัชญาและแนวปฏิบัติทางศาสนาสิกข์อย่างลึกซึ้ง ผ่านการวิเคราะห์บทสวดนิตเนมและการศึกษาภาคสนาม ทำให้ได้องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งนักวิชาการ ผู้สนใจศาสนาสิกข์ และผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองและการสร้างสังคมที่ดี แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่มันก็เป็นพื้นฐานที่ดีในการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อขยายขอบเขตการวิจัยให้กว้างขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา หรือการพัฒนาตนเอง ผลการวิจัยสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการเรียนการสอน หรือใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาสิกข์ นอกจากนี้ งานวิจัยยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา โดยนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาสิกข์และวัฒนธรรมของชาวสิกข์ มาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว เช่น การจัดทัวร์ศาสนาสิกข์ การจัดทำคู่มือท่องเที่ยว หรือการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของศาสนาสิกข์
งานวิจัยนี้เหมาะกับอาชีพใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับนักวิชาการ นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจศาสนา ปรัชญา และการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานด้านศาสนาสิกข์ นักวิชาการสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการศึกษาค้นคว้า เพิ่มเติมความรู้ และตีพิมพ์บทความทางวิชาการ นักศึกษาก็สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการทำรายงาน วิทยานิพนธ์ หรือการศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนี้ งานวิจัยยังเหมาะสำหรับนักจิตวิทยา ครู หรือผู้ที่ทำงานด้านการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากงานวิจัยได้กล่าวถึงการพัฒนาจิตวิญญาณ และการพัฒนามนุษย์ตามแนวทางของศาสนาสิกข์ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาบุคลากร หรือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในองค์กรได้
| รหัสโครงการ : | 7486 |
| หัวหน้าโครงการ : | นายอภิรัฐ คำวัง |
| ปีงบประมาณ : | 2563 |
| หน่วยงาน : | มหาวิทยาลัยมหิดล |
| สาขาวิจัย : | กลุ่มข้อมูลด้านมนุษย์ศาสตร์ |
| ประเภทโครงการ : | โครงการเดี่ยว |
| สถานะ : | ปิดโครงการ |
| คำสำคัญ : | |
| วัตถุประสงค์ : | เพื่อศึกษาเนื้อความบทสวดพระธรรม ‘นิตเนม’ วัตรแห่งศาสนาซิกข์ โดยสังเคราะห์องค์ความรู้ทางปรัชญาศาสนาและรูปแบบการพัฒนาจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์ การพัฒนามนุษย์ตามแนวทางแห่งซิกข์ |
นายอภิรัฐ คำวัง. (2563). นิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์. มหาวิทยาลัยมหิดล. นครปฐม.
นายอภิรัฐ คำวัง. 2563. "นิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์". มหาวิทยาลัยมหิดล. นครปฐม.
นายอภิรัฐ คำวัง. "นิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์". มหาวิทยาลัยมหิดล, 2563. นครปฐม.
นายอภิรัฐ คำวัง. นิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์. มหาวิทยาลัยมหิดล; 2563. นครปฐม.