รูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
บทวิเคราะห์งานวิจัย
งานวิจัยเรื่อง “รูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งศึกษาหาแนวทางในการสร้างความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชนผ่านกลไกสภาชุมชน งานวิจัยนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาชุมชนในประเทศไทย เนื่องจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงและการจัดการทรัพยากรชุมชนเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของชุมชนและความเป็นอยู่ของประชาชน การศึกษาครั้งนี้จึงพยายามหาคำตอบว่า รูปแบบสภาชุมชนใดจึงจะเหมาะสมที่จะสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเหลื่อมล้ำลงได้
งานวิจัยได้ระบุถึงวัตถุประสงค์หลัก 4 ข้อที่ชัดเจน คือ การศึกษาฐานคิด โครงสร้าง ลักษณะ ระบบการดำเนินงาน และบทบาทของสภาชุมชน การศึกษาการเสริมสร้างความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความร่วมมือดังกล่าว และการศึกษารูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการสร้างความร่วมมือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ การตั้งวัตถุประสงค์ที่ครอบคลุมเหล่านี้ทำให้การวิจัยมีความสมบูรณ์และสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
วิธีการวิจัยที่ใช้เป็นวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ตัวแทนสภาชุมชนและนักวิชาการ จำนวน 10 คน แม้ตัวอย่างจะมีจำนวนไม่มาก แต่การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีความรู้และประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับสภาชุมชนถือเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาช่วยให้สามารถสรุปผลการวิจัยได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึง 2 มิติสำคัญในการสร้างความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชนผ่านสภาชุมชน คือ การสร้างความร่วมมือภายในองค์กรของสภาชุมชนเอง และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย มิติแรกเน้นความสำคัญของผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ทั้งผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมถึงการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากสมาชิกสภาชุมชนและคนในชุมชน มิติที่สองเน้นการใช้ทุนทางสังคม การสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานอื่นๆ และที่สำคัญคือการสร้างความเป็นเจ้าของร่วมในทรัพยากรชุมชน โดยสภาชุมชนทำหน้าที่เป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาทางออกร่วมกัน ซึ่งกระบวนการนี้ต้องเกิดจากความต้องการของชุมชนและหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการทำงานร่วมกันแบบองค์รวม ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้ ชี้ให้เห็นว่าการสร้างความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จในการจัดการทรัพยากรชุมชน ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของทุกฝ่าย การสร้างความเข้าใจร่วมกัน และการทำงานแบบบูรณาการ ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานของสภาชุมชนเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม งานวิจัยนี้จึงไม่ได้เพียงแค่ให้คำตอบเกี่ยวกับรูปแบบสภาชุมชน แต่ยังให้แนวทางในการสร้างความร่วมมือ การบริหารจัดการ และการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำผลการวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์ จำเป็นต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละชุมชน เพราะสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม และทรัพยากรของแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น จำนวนผู้ให้ข้อมูลที่ค่อนข้างน้อย และการศึกษาที่ครอบคลุมเฉพาะบางพื้นที่ อาจทำให้ผลการวิจัยไม่สามารถนำไปสรุปใช้ได้กับทุกชุมชนในประเทศไทย การศึกษาในอนาคตอาจต้องขยายขอบเขตการวิจัยให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และสามารถนำไปใช้เป็นนโยบายในการพัฒนาชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชน การจัดการทรัพยากร และการส่งเสริมความยั่งยืน เช่น อุตสาหกรรมที่ปรึกษาการพัฒนาชุมชน อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และอุตสาหกรรมสังคมสงเคราะห์ เหตุผลเพราะผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ในการวางแผน ออกแบบโครงการ และประเมินผลโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรชุมชน การส่งเสริมความร่วมมือ และการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจในพื้นที่ชนบทหรือชุมชน การเข้าใจกลไกสภาชุมชนและวิธีการสร้างความร่วมมือจะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยนี้เหมาะกับอาชีพใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับบุคคลในหลายอาชีพ เช่น นักวิชาการด้านการพัฒนาชุมชน นักวิจัยสังคมศาสตร์ เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชน ผู้ทำงานด้านการจัดการทรัพยากร ผู้นำชุมชน และนักกิจกรรม เหตุผลก็คือ งานวิจัยนี้ให้ความรู้และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานของสภาชุมชน วิธีการสร้างความร่วมมือ และการจัดการทรัพยากรชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นความรู้ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของบุคคลเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานในพื้นที่ชนบทหรือชุมชน การเข้าใจถึงบทบาท โครงสร้าง และกลไกการทำงานของสภาชุมชนจะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ งานวิจัยยังสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรในสาขาที่เกี่ยวข้องได้
| รหัสโครงการ : | 47256 |
| หัวหน้าโครงการ : | นายสิทธิชัย ธรรมขัน |
| ปีงบประมาณ : | 2563 |
| หน่วยงาน : | มหาวิทยาลัยแม่โจ้ |
| สาขาวิจัย : | กลุ่มข้อมูลด้านสังคมศาสตร์ |
| ประเภทโครงการ : | โครงการเดี่ยว |
| สถานะ : | ปิดโครงการ |
| คำสำคัญ : | |
| วัตถุประสงค์ : | 1.เพื่อศึกษาฐานคิดของการก่อตั้ง โครงสร้าง ลักษณะ ระบบการดำเนินงาน และบทบาทการทำงานของสภาชุมชนที่มีอยู่ในประเทศไทย2.เพื่อศึกษาการเสริมสร้างความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชนของสภาชุมชน3.เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชนของสภาชุมชน4.เพื่อศึกษารูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการสร้างความร่วมมือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการจัดการทรัพยากรชุมชน |
นายสิทธิชัย ธรรมขัน. (2563). รูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย. มหาวิทยาลัยแม่โจ้. เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, ลำพูน.
นายสิทธิชัย ธรรมขัน. 2563. "รูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย". มหาวิทยาลัยแม่โจ้. เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, ลำพูน.
นายสิทธิชัย ธรรมขัน. "รูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย". มหาวิทยาลัยแม่โจ้, 2563. เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, ลำพูน.
นายสิทธิชัย ธรรมขัน. รูปแบบสภาชุมชนที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย. มหาวิทยาลัยแม่โจ้; 2563. เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, ลำพูน.