การพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด
บทวิเคราะห์งานวิจัย
งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด” เป็นงานวิจัยเชิงผสม (Mixed Methods) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโมเดลการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนเป็นฐาน ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้สูงในการประยุกต์ใช้ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับชุมชนและวัดอย่างใกล้ชิด
จุดเด่นของงานวิจัยนี้คือการผสมผสานระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเข้าด้วยกัน การใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มช่วยให้เข้าใจบริบททางสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ป่าได้อย่างลึกซึ้ง ข้อมูลเชิงคุณภาพนี้จะช่วยสร้างความเข้าใจเบื้องต้นและเป็นพื้นฐานในการออกแบบเครื่องมือและแบบสอบถามสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณต่อไป การวิจัยเชิงปริมาณจะช่วยวัดผลและประเมินประสิทธิภาพของโมเดลการอนุรักษ์ที่พัฒนาขึ้นได้อย่างเป็นระบบและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
การเลือกใช้กลุ่มเป้าหมาย 3 วัดใน 3 จังหวัดที่แตกต่างกัน (วัดนวการาม จังหวัดขอนแก่น, วัดป่ามหาวัน จังหวัดชัยภูมิ และวัดถ้ำน้ำทิพย์ จังหวัดกาฬสินธุ์) เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย เนื่องจากได้เปรียบเทียบและวิเคราะห์ข้อมูลจากพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ควรมีการระบุอย่างชัดเจนว่าการเลือกวัดทั้ง 3 แห่งนี้มีเกณฑ์หรือหลักการอย่างไร เพื่อให้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างมีความสมเหตุสมผลและสามารถนำไปขยายผลได้อย่างทั่วถึง
การใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนเป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาโมเดลการอนุรักษ์ป่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างจิตสำนึกและความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบูรณาการแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของระบบการอนุรักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน การสร้างความรู้ความเข้าใจ และการสร้างระบบการจัดการร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การวิจัยยังควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อการอนุรักษ์ป่าชุมชน เช่น นโยบายของรัฐบาล การเข้าถึงทรัพยากร และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้โมเดลการอนุรักษ์มีความสมบูรณ์และสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์จริง นอกจากนี้ ควรมีการติดตามผลหลังจากการทดลองใช้โมเดลเพื่อประเมินความยั่งยืนและความสามารถในการขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ ต่อไป
โดยสรุป งานวิจัยนี้มีความสำคัญและมีความเป็นไปได้สูงในการนำไปประยุกต์ใช้ การผสมผสานระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลัก และการเลือกกลุ่มตัวอย่างจากหลายพื้นที่ ล้วนเป็นจุดแข็งของงานวิจัย แต่การวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและการติดตามผลระยะยาวจะช่วยเพิ่มความสมบูรณ์และความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยได้มากยิ่งขึ้น
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เหตุผลคือ โมเดลการอนุรักษ์ป่าชุมชนที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น อุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ หรืออุตสาหกรรมที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ก็สามารถนำผลการวิจัยนี้ไปปรับใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรได้
งานวิจัยนี้เหมาะกับอาชีพใด
งานวิจัยนี้เหมาะกับบุคลากรในหลายอาชีพ อาทิ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ป่าไม้ ผู้นำชุมชน พระสงฆ์ และนักพัฒนาชุมชน เหตุผลคือ งานวิจัยนี้ให้แนวทางในการอนุรักษ์ป่าชุมชน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของบุคลากรในอาชีพเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างความร่วมมือและความยั่งยืนในการอนุรักษ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| รหัสโครงการ : | 38186 |
| หัวหน้าโครงการ : | พระครูปลัด สมหมาย พืชสิงห์ |
| ปีงบประมาณ : | 2563 |
| หน่วยงาน : | มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย |
| สาขาวิจัย : | กลุ่มข้อมูลด้านเกษตรศาสตร์ |
| ประเภทโครงการ : | โครงการเดี่ยว |
| สถานะ : | ปิดโครงการ |
| คำสำคัญ : | |
| วัตถุประสงค์ : | 1.เพื่อศึกษารูปแบบการอนุรักษ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมในพระพุทธศาสนา 2.เพื่อศึกษาบทบาทพระสงฆ์กับแนวทางการอนุรักษ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อม 3.เพื่อพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด |
พระครูปลัด สมหมาย พืชสิงห์. (2563). การพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. .
พระครูปลัด สมหมาย พืชสิงห์. 2563. "การพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด". มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. .
พระครูปลัด สมหมาย พืชสิงห์. "การพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด". มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2563. .
พระครูปลัด สมหมาย พืชสิงห์. การพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคิด 7 เสาหลักของพระสงฆ์และชุมชนวัดป่าจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย; 2563. .